ข้อคิดเรื่องการเรียนภาษาบาลีเพื่อสร้างนักคิด

สมภาร พรมทา

 

 

 

การเรียนภาษาบาลีมีเป้าหมายชัดเจนว่าเพื่อให้เราอ่านภาษาบาลีได้ อ่านได้หมายความว่าเข้าใจว่าข้อความที่อ่านหมายความว่าอย่างไร เป้าหมายนี้สำหรับผมเป็นเป้าหมายหลัก ส่วนการเรียนบาลีเพื่อให้เขียนบาลีได้เป็นเรื่องรอง และที่รองลงไปกว่านั้นคือเรียนเพื่อให้พูดหรือฟังบาลีได้ ภาษาบาลีเป็นภาษาพิเศษ คือเป็นภาษาที่ใช้บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยที่ตัวภาษาบาลีเองในปัจจุบันไม่มีคนใช้งานในชีวิตจริงแล้ว การเรียนภาษาแบบนี้ปกติเราเรียนเพื่อให้อ่านได้ การเขียนภาษาใดก็ตามจะมีความหมายก็ต่อเมื่อภาษานั้นยังมีคนใช้อยู่ เมื่อไม่มีคนใช้ภาษาบาลีแล้ว เรียนเขียนก็ใช้ประโยชน์ได้น้อย ไม่ต้องพูดเรื่องฟังและพูด ซึ่งไม่ค่อยมีประโยชน์ และฝึกให้ดีได้ยาก เพราะไม่มีคนพูดภาษาบาลีแล้ว จะหาสำเนียงจริง หรือสำเนียงมาตรฐานได้จากที่ไหน

หนังสือภาษาบาลีมีจำนวนที่แน่นอนในโลก ซึ่งก็คือคัมภีร์ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท การเรียนบาลีจึงมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนคือเพื่อให้อ่านคัมภีร์บาลีได้เข้าใจ การเรียนภาษาเพื่อให้เข้าใจอาจไม่จำเป็นต้องสนใจรายละเอียดทางไวยากรณ์เกินความจำเป็น ไวยากรณ์เกิดหลังภาษาเสมอ ไวยากรณ์เป็นหลักการกว้างๆ เพื่อให้จัดการกับภาษาที่ตายแล้ว ในทางปรัชญาภาษา เรารู้ว่าไม่มีทางที่มนุษย์จะเข้าใจภาษาได้หมดจด เพราะภาษาเป็นเครื่องมือที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย การเอาไวยากรณ์ที่สร้างขึ้นยุคหนึ่งไปทำความเข้าใจภาษาที่เกิดก่อน อาจผิดพลาดได้ แต่การเรียนไวยากรณ์ก็ยังจำเป็น เราต้องเรียนไวยากรณ์บาลี แต่ต้องไม่เรียนมากจนเกินความจำเป็น

ผมคิดว่า การเรียนบาลีควรเน้นให้ผู้เรียนมีความองอาจที่จะตีความว่าเนื้อหาในคัมภีร์ควรเข้าใจว่าอย่างไร เข้าใจเป็นคนละเรื่องกับการแปลแบบกลไก เช่นเราแปล สตฺถา ว่า อ. พระศาสดา แปลได้ แต่อาจไม่เข้าใจว่าพระศาสดาหมายความว่าอย่างไร เราควรเรียนอย่างที่ผู้เรียนจะฉุกคิดว่าทำไมคัมภีร์จึงเรียกพระพุทธเจ้าว่าพระศาสดา ถ้าตีความว่า พระศาสดาหมายถึงผู้บอก ก็จะเข้าใจต่อไปว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงบอกเราว่าอะไรเป็นอะไร จากนั้นเราจะจัดการกับสิ่งนั้นอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเราล้วนๆ เช่นเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ เชื่อเพราะอะไร ไม่เชื่อเพราะอะไร ไม่ใช่หน้าที่ของพระศาสดาที่จะมาตอบ เราต้องตอบเอง คิดอย่างนี้พระพุทธศาสนาก็เป็นศาสนาแบบที่ศิษย์ต้องเข้มแข็งด้วยตัวเอง คิดเอง ตัดสินใจเอง ไม่มีสูตรสำเร็จ

ผมเชื่อว่าการจะเป็นผู้รู้ทางพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้บาลีคงเป็นไปไม่ได้ แต่การเป็นผู้รู้ต้องการคุณสมบัติมากกว่ารู้บาลี เรามีเปรียญเก้าพอสมควร และผมก็เคยสอนเปรียญเก้ามาจำนวนหนึ่ง พบว่า รู้บาลียังไม่พอจะให้เป็นผู้รู้ หากคิดว่าหลักสูตรปริญญาเอกทางด้านภาษาบาลีไม่ใช่เพียงเพื่อสร้างนักรู้บาลี แต่จะต้องสร้างปราชญ์หรือผู้รู้ทางพระพุทธศาสนา (ในอนาคตก็ได้) เราต้องเรียนบาลีแบบเน้นความเข้าใจและเน้นให้เป็นคนช่างสงสัย เมื่อสงสัยก็ใช้ความรู้บาลีที่ต้องมีอย่างไม่ขาดตกเป็นอุปกรณ์ในการถางทางไปหาความรู้ที่ยังไม่รู้ หลักสูตรบาลีในอุดมคติของผมควรเรียนหลักภาษาบาลี วรรณคดีบาลี และหลักการตีความคัมภีร์ หลักสุดท้ายนี้ต้องอ่านและศึกษางานของนักคิดที่สำคัญของโลกที่ส่วนใหญ่เป็นนักปรัชญา เรียนอย่างนี้เราจะรู้กว้างและแน่น และรู้จักคิดด้วยตนเอง

 

๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒