การเมืองจากมุมมองของโลกส่วนตัวผม
สมภาร พรมทา
ผมมีความรู้เรื่องการเมืองน้อยมาก
ยิ่งการเมืองไทยเรียกได้ว่ามีความรู้แทบเป็นศูนย์
คนขับแท็กซี่หลายคนที่ผมเคยนั่งรู้เรื่องการเมืองไทยมากกว่าผม
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่ผมสนใจคือปรัชญาการเมือง
ที่เป็นคนละเรื่องกับการเมือง ปรัชญาการเมืองเป็นหลักคิดที่ศึกษาการเมืองในแง่ที่เป็นความคิด
ถ้าถามว่า อะไรคือหลักการของประชาธิปไตยในทางปรัชญาการเมือง ผมตอบได้
และนอกจากตอบได้ ผมมีข้อเสนอส่วนตัวด้วยว่าประชาธิปไตยที่ดีตามความคิดผมเป็นอย่างไร
แต่ทั้งหมดไม่เกี่ยวกับการเมืองไทยที่กำลังดำเนินอยู่เวลานี้ ยามเลือกตั้ง ผมไม่คิดว่าความรู้ทางปรัชญาการเมืองที่ผมมีจะช่วยอะไรผมได้มากกว่าชาวบ้านธรรมดาเช่นพี่น้องผมที่อีสาน
หลักคิดทางการเมืองเป็นสิ่งหนึ่ง
ส่วนการเมืองจริงๆที่สังคมเราหยิบยื่นให้เราเป็นอีกสิ่ง
บางทีสองสิ่งนี้ก็ห่างกันมาก ผมมีปัญหาเฉพาะตัวอย่างหนึ่งที่พยายามแก้และอยู่กับมัน
(และผมคิดว่าผมอยู่กับมันได้ดีพอสมควร) คือ ในทางปรัชญาการเมือง
ผมมีภาพของประชาธิปไตยแบบหนึ่ง แต่เมื่อผมต้องไปเข้าคูหา
สิ่งที่ผมต้องเลือกในนามประชาธิปไตยมันเป็นอีกแบบ ผมจะทำอย่างไร ผมต้องคิด
และตัดสินใจ ที่ผ่านมา ผมพยายามไปเลือกตั้งเสมอ แปลว่าในชีวิตจริง
ผมก็อยู่กับการเมืองไทยได้ ไม่มีปัญหาอะไรเลย
แต่ถ้าถามว่าผมอยากเห็นการเมืองไทยดีขึ้นกว่านี้ไหม แน่นอนครับ มีเป็นอเนกอนันต์
แต่นั่นก็เป็นเรื่องอุดมคติในทางปรัชญาการเมืองที่ผมค่อนข้างเชื่อว่ายากที่ผมจะได้เห็นในชีวิตจริง
การเมืองแบบสำเร็จรูปและถูกหยิบยื่นมาให้เราในนามการเลือกตั้ง
(ผมไม่ขอพูดถึงการเมืองในมือผู้ทำรัฐประหาร
เพราะสิ่งนี้โดยหลักการยากที่จะอธิบายได้ว่าชอบธรรม อธิบายได้เหมือนกันว่าจำเป็น
แต่นั่นก็เท่ากับบอกว่าสิ่งนี้เป็น a necessary evil ซึ่งก็แปลว่ายังเป็นความชั่วร้ายอยู่นั่นแหละ
แต่เป็นความชั่วร้ายที่จำต้องทำ แน่นอน เราถามต่อได้เสมอว่า ที่ว่าจำต้องทำนั้นแน่ใจนะว่าตันแล้ว
ไม่มีทางไปแล้ว จึงต้องทำ สมมติอธิบายได้ว่าจำต้องทำ
การทำงานอย่างสุจริตและได้ผลก็ทำให้การทำรัฐประหารเสมอตัว
ไม่ได้คะแนนเชิงบวกเพราะเป็นระบบที่ได้มาอย่างไม่ชอบธรรม) นั้นเป็นปรากฏการณ์เฉพาะ
จึงมีรายละเอียดและสีสันที่เป็นเรื่องเฉพาะตามกาลเวลา
การที่ฟ้าหญิงอุบลรัตน์รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีโดยพรรคการเมืองที่คุณทักษิณ
ชินวัตรดูแลอยู่สำหรับผมก็เป็นสีสันทางการเมืองเฉพาะคราวที่ใครจะไปห้ามให้เกิดก็คงไม่ได้
ผมศึกษาปรัชญาประวัติศาสตร์ตามหน้าที่คนสอนปรัชญา
ทราบว่าประวัติศาสตร์ใหญ่กว่าคนเสมอ
ที่ฟ้าหญิงท่านเข้ามาเป็นตัวหมากหนึ่งในทางการเมืองไทยเวลานี้ย่อมมีที่มาที่ไปแน่นอน
ตามความคิดผมที่อาจผิดหรือเชยมากก็คือ
การเมืองไทยในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาเสมือนเป็นการเมืองที่มีโจทย์หลักสำคัญข้อหนึ่งคือจะต้องทำลายตระกูลชินวัตรไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดในทางการเมือง
คนในตระกูลใดเขาก็เป็นคนเหมือนคนอื่น เมื่อถูกต้อนให้เข้าไปอยู่ในตรอกแคบๆ
เขาก็ต้องอึดอัด เป็นผมก็ต้องพยายามออกจากตรอกแคบนั้น
การเสนอชื่อฟ้าหญิงอุบลรัตน์คุณทักษิณน่าจะเชื่อว่าเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้ตนและครอบครัวออกจากตรอกแคบทางการเมืองที่คนอื่นสร้างให้นั้น
พวกเราที่เป็นชาวบ้านบางคนก็มองว่าสมแล้วที่ตระกูลชินวัตรถูกต้อนให้ไปอยู่ในตรอกแคบนั้น
แต่บางคนก็ไม่คิดอย่างนั้น สองฝ่ายนี้คงมีจำนวนพอๆกัน
เมื่อมีข่าวว่าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ท่านรับจะนั่งเป็นนายกให้ฝ่ายพรรคการเมืองสีแดง
ฝ่ายที่เชียร์คุณทักษิณก็ย่อมมองเห็นเป็นโอกาสที่งดงาม
ฝ่ายที่ต่อต้านคุณทักษิณก็มองตรงข้าม สำหรับผม ผมคิดแทนคนอื่นไม่ได้
ผมคิดแทนได้แต่ตัวผม ส่วนตัว ผมก็รับได้นะครับว่า การเมืองจริงเป็นอย่างนี้แหละ
คือมีคนเล่นอยู่ไม่กี่คน และคนที่จะไปเล่นอย่างนั้นได้ต้องมีทุนทรัพย์พอสมควร
มีอำนาจที่ได้มาฟรีๆตามงานที่ทำ (เช่นเป็นทหาร เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นต้น) การเมืองสำเร็จรูปก็เหมือนบะหมี่สำเร็จรูปคือมีให้เลือกสองสามเจ้า
คนที่เสนอการเมืองให้เราต่อให้ปากบอกว่า เราทำเพื่อพี่น้องนะ ผมก็ไม่เชื่อ ที่ไม่เชื่อไม่ใช่เพราะว่าคนเหล่านี้เลว
สมมติให้ผมไปเป็นนักการเมือง ผมก็คงพูดเหมือนคนเหล่านี้
โดยที่ผมรู้ว่าผมไม่ได้เชื่ออย่างนั้นหรอก ผมลงทุนมาก
ผมก็ต้องคิดว่าคุ้มไหมที่จะลงไปเล่นการเมือง
นี่คือความจริงที่เราไม่ควรเหนียมอายที่จะพูดกันตรงๆ ผมเลือกพรรคการเมืองบางพรรค ไม่ใช่เพราะผมเห็นว่าพวกเขาเป็นพระโพธิสัตว์เลย
ผมรู้คนพวกนี้รวยกว่าผม มีอำนาจมากกว่าผม
และผมไม่คิดว่าพวกเขารักผมที่เป็นประชาชนมากกว่าตัวเขาและครอบครัวเขาดอก
ผมเลือกเพราะคิดว่าบ้านเมืองต้องมีคนทำหน้าที่รัฐบาล ก็เลือกเอาเท่าที่จะเลือกได้
หากในการทำงานจริง เขาทำให้เราได้ประโยชน์ก็ถือว่าเราเลือกถูก หากไม่
ก็ถือว่าเลือกผิด หากมีการทำประโยชน์ตนมากกว่าประโยชน์สาธารณะ หากไม่ผิดกฎหมาย
เราก็ต้องรับว่าเขาต้องถอนทุนคืน ก็เป็นธรรมดา หากผิดกฎหมายหรือผิดจริยธรรม
เราก็ต้องช่วยกันโวยวาย ดำเนินการ ทางกฎหมายหรืออย่างอื่น การเมืองในชีวิตจริงก็เท่านี้แหละครับ
หาความสมบูรณ์ได้ที่ไหน ไม่มี เป็นอย่างนี้ทั้งโลก
กรณีฟ้าหญิงอุบลรัตน์คราวนี้ผู้คนก็คิดต่างกันมากมาย
ผมจะไม่แตะต้องความเห็นของมหาชน
เพราะผมรับว่าเราเป็นหนึ่งเสียงเท่ากันในนามประชาธิปไตย
แต่ผมโดยส่วนตัวก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า คุณทักษิณคิดถึงพวกเรามากเท่ากับที่คิดถึงตัวเองไหม
ผมเพียงแต่สงสัยนะครับ แต่ต่อให้คำตอบคือคุณทักษิณคิดถึงตนและครอบครัวเป็นหลัก
ผมก็เข้าใจ เพราะคิดว่าหากผมเป็นท่าน ผมก็คงคิดอะไรไม่ได้มากกว่านี้
อีกคนที่ผมอยากสื่อสารความรู้สึกถึงก็คือฟ้าหญิงอุบลรัตน์ เท่าที่ผ่านมา
ผมเห็นสิ่งที่ท่านแสดงออกก็พอจะอ่านท่านได้บ้างนิดหน่อย ท่านกำลังถูกดันเพื่อเป็นคู่แข่งพลเอกประยุทธ์
สองท่านนี้ผมไม่ขอออกความเห็นในเรื่องคุณสมบัติส่วนตัวนะครับ
แต่ผมนึกถึงคนที่สามคือกองทัพ กกต. และอื่นๆ ในทางกฎหมาย กกต. คงต้องมีภาระในการตีความว่าสถานะของฟ้าหญิงอุบลรัตน์จะเอาอย่างไรแน่
หากท่านถูกวิจารณ์ คนวิจารณ์จะเข้าข่ายหมิ่นเจ้านายหรือไม่
ผมหวังแต่ว่าทุกอย่างจะค่อยๆลงตัว หรือดีขึ้น แม้จะยากก็ตาม
วัฒนธรรมไทยเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วย ขนาดท่านลาออกจากความเป็นเจ้าแล้ว
คนไทยจำนวนมากก็ยังบอกยินดีที่จะถือและปฏิบัติต่อท่านในฐานะเจ้า
จะโทษท่านเสียทีเดียวก็คงไม่ได้ เพราะที่ท่านเป็นเจ้าอยู่แม้จะลาออกแล้วก็เพราะวัฒนธรรมไทย
โดยกฎหมาย ท่านกับผมอาจเท่ากัน แต่ในทางวัฒนธรรม ท่านอยู่บนฟ้า ผมอยู่พื้นดิน
นี่คือข้อเท็จจริงที่ท่านควรไตร่ตรองให้มากและถามตัวเองว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรในฐานะผู้เสนอตัวมาทำงานการเมือง
ในทางปรัชญาการเมือง
การที่พลเอกประยุทธ์และฟ้าหญิงอุบลรัตน์เป็นตัวละครสำคัญเวลานี้ผิดหลักการประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง
ประชาธิปไตยคือแนวคิดที่บอกว่าประชาชนต้องยืนตรง เชิดหน้า หลังไม่งอ ด้วยตนเอง
ที่มีปัญญาชนไทยจำนวนหนึ่งไม่รับทั้งสองท่านนี้ผมเข้าใจ ปัญญาชนไทยเหล่านี้เขามีหลักการของเขา
เขาจึงไม่รับ
แต่ชาวบ้านทั่วไปก็อาจไม่ได้คิดถึงหลักนี้มากเท่ากับข้อเท็จจริงที่ว่าจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของตนเองอย่างไร
ชาวนาที่อีสานอาจเลือกฟ้าหญิงอุบลรัตน์เพราะคิดว่าเลือกท่านแล้วราคาข้าวคงดีขึ้น
แต่ชาวสวนที่ภาคใต้อาจไม่เชื่ออย่างนั้น ก็ไม่เลือก ผมเคารพการตัดสินใจเหล่านี้
แต่ผมก็มีทางของผม ผมเป็นพวกยึดหลัก
ที่ยึดนั้นก็ไม่ใช่เพราะว่าดีกว่าชาวบ้านดอกครับ ผมมีอาชีพ มีทางหาเงินได้
สะดวกกว่าชาวบ้าน การไม่มีภาระต้องหาเงินเลี้ยงตนอย่างแสนสาหัสเลยทำให้ผมเป็นมนุษย์หลักการได้
ก็เท่านั้นแหละ ลองผมไปเป็นชาวบ้านเช่นชาวนาอีสานซิครับ เรื่องอะไรผมจะยึดหลักการ
เพราะมันกินไม่ได้
ข้อเขียนนี้ไม่มีข้อสรุปนะครับ
เพราะเป็น personal
reflection ที่อาจแปลอย่างบ้านๆว่า บ่นคนเดียว
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒